เรื่อง บุรุษใจสิงห์


         ยังมีหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่งชื่อ ซีนก่าย เป็นผู้สืบเชื้อสายของซามูไร แต่ไปได้กำเนิดอยู่ในถิ่นบ้านนอก พออายุรุ่นกระทงขึ้นมา ก็มีการปรารภที่จะเข้าไปหาความก้าวหน้าในกรุง เอโดะ(คือโตเกียวของญี่ปุ่นในสมัยนั้น) ในฐานะเป็นเด็กรับใช้อยู่ในเคหาสน์อันโอ่อ่า ต่อมาเนื่องจากหนุ่มซี่นก่ายเป็นเด็กหน้าตาหมดจด มีหน่วยก้านดี ทำงานอะไรก็ได้อย่างใจของเจ้านาย เพราะมีพื้นความเฉลียวฉลาดว่องไว จึงได้รับเลือกเข้ารับใช้ใกล้ชิดประจำตัวท่านขุนนางผู้นั้น
        อยู่มาไม่นาน คุณนายภรรยาของขุนนางผู้นั้น จิตใจไมดี คิดวกลงต่ำ จึงใช้เด็กผู้ใกล้ชิดคนนี้ให้บำบัดความต้องการ เด็กหนุ่มของเราก็เลยได้กระทำความผิดพลาดในชีวิตเสียตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ได้ลอบกระทำชู้ร่วมกันมาจนคืนหนึ่งท่านขุนนางผู้นั้นจับได้ ท่านขุนนางได้กระชากดาบซามูไรที่แขวนไว้อยู่ข้างฝา หมายจะสังหารเด็กหนุ่มซีนก่ายทันที แต่ด้วยอารมณ์ที่ท่านโกรธจัด ย่อมทำไปด้วยอาการสุดแรงเกิด เหวี่ยงซ้ายป่ายขวา เด็กซีนก่ายเห็นจวนตัว ก็เอาเก้าอี้ เอาทุกสิ่งที่ใกล้ป้องปัด รับดาบไปพลาง ถอยรอบๆห้องไปพลาง ใกล้ๆจะหมดหนทางอยู่แล้ว ก็พอดี คุณนายผู้เป็นตัวการนั่นเอง ได้คิดตัดสินใจ ว่าไหนๆเขาก็จับการเล่นชู้ได้ เราก็ไม่อาจจะครอบครองความเป็นใหญ่ต่อไปได้อีก จึงคิดเลือกเอาข้างผัวหนุ่มไว้ก่อน ค่อยไปตายเอาดาบหน้า จึงรีบไปชักดาบที่แขวนไว้ข้างฝาอีกเล่มหนึ่งมาแทงขุนนาง ทันเวลาช่วยชีวิตให้หนุ่มหน้ามน ได้อยู่ฟันฝ่าชีวิตต่อไปอีก เมื่อเห็นท่านขุนนางตายแล้ว คุณนายก็ออกคำสั่งให้เด็กซีนก่าย รีบรุดหนีออกจากบ้านไปพร้อมกันในตอนดึกคืนนั้นเอง
        หลังจากผ่านฉากชีวิตที่น่าหวาดเสียว เหมือนดั่งฝัน เพราะอะไรๆมันช่างเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มซีนก่ายซึ่งก่อนหน้านี้หมายมั่นจะมาสร้างความเจริญก้าวหน้า แต่บัดนี้ได้มาอยู่ในฐานะสามีของคุณนายเสียทันที แต่ก็ต้องอยู่กันอย่างแอบแฝงหลบลี้หนีหน้าในแหล่งที่จะไม่มีใครตามพบ ทีแรกก็พอจะมีอะไรๆแลกเปลี่ยนซื้ออาหารการกินบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะจับจ่าย จะไปทำงานทำการก็ไม่สามารถแสดงตัวต่อสังคมได้ ต้องจำใจเลือกเอาข้างลักขโมยเขากิน แม้แต่ตัดช่องย่องเบาเอาทั้งนั้น ตอนต้นก็นึกว่าพอทนทำไปได้ เพราะเห็นแก่ความสุขในการได้เป็นผัวเมียกันใหม่ๆ ทีนี้พออยู่ๆกันไปหนุ่มซีนก่ายถึงคราวจะหมดกรรมหมดเวร ได้เกิดมีความคิดขึ้นอย่างหนึ่งว่า คนเราคนหนึ่งๆนี้ ช่างเป็นไป เปลี่ยนไปเพราะผลของความคิดนี้เอง และความผิดนี้ มันก็ช่างขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นๆเสียเหลือเกิน จนไม่อาจจะกระดิกกระเดี้ยขอผัดผ่อนไม่ให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้ คนทุกคนจะดีจะชั่วมันก็อยู่ตรงนี้เอง แม้จะตั้งปรารถนาดิบดีมาตั้งแต่บ้าน ว่าจะเข้ากรุงเพื่อหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต และพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดีมาแล้ว แม้คนอื่นที่เขาอยากเจริญก้าวหน้า ต่างก็ปรารภและทำอย่างเดียวกัน แต่เหตุไฉนบางคนจึงสามารถไต่เต้าทำไปได้จนถึงที่หมาย แต่บางคนไปไม่ถึงที่หมาย ข้อนี้มันก็เพราะมนุษย์เราทนต่อสิ่งมายั่วเฉพาะหน้านี้ไม่ได้ นั่นเอง ความคิดจึงเปลี่ยนรูป วิถีชีวิตก็จำต้องแปรผันไป
        เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว หนุ่มซีนก่ายก็หวนมาดูภรรยาตน ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นคุณนายที่สูงศักดิ์ แต่เพราะเธอไม่มีความรู้เรื่องความคิด เธอจึงถูกความคิดหลอกเอา และตัวเราเอง ก็เพราะเจอเอาสิ่งที่มาพบเห็นเข้า แล้วทนไม่ได้ ความคิดมันก็เปลี่ยนไปปุบปับ ชนิดที่เจ้าตัวเองไม่มีวันจะควบคุม หรือชักบังเหียนให้คืนหลังได้ มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ช่างตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและสิ่งแวดล้อมอย่างนี้เสียจริงๆ สุดที่จะแหวกหนีไม่ให้เป็นอย่างนั้นไปได้ จะมีทางเดียวก็แต่จัดให้ตัวเองไปได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่ช่วยมิให้เป็นอย่างนั้นเท่านั้น ซึ่งบางทียังจะพอควบคุมทำกับตัวของตัวได้บ้าง แล้วสายแห่งความคิดที่ไหลมาให้คิดให้รู้อยู่นี้ มันก็เบนวิถีไปในทางที่ปลอดภัย
        หนุ่มซีนก่าย คิดเรื่องนี้ทบทวนอย่างหนัก ทำอย่างไรหนอคนเรานี้จะควบคุมให้ความคิดเป็นไปอย่างถูกต้อง และคงเส้นคงวาอยู่ในแนวที่ถูกต้อง ถ้าปล่อยให้สิ่งแวดล้อม รูป เสียง กลิ่นรส เข้ามาจ่อถึงตัวอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีวันจะควบคุมสายความคิดนี้ได้ จะต้องยักย้ายให้ตัวเองได้ที่แวดล้อมชนิดทำให้ตั้งตัวได้เสียก่อน ฉะนั้นหนุ่มซีนก่าย จึงคิดบริจาคคุณนายผู้ภรรยาของตัวโดยตัวเองเป็นฝ่ายหนีไปเสียให้ห่าง คิดดังนั้นก็หลบหนีทิ้งภรรยา เดินทางจากไปเสียให้สุดหล้าฟ้าเขียว สู่อำเภอบ้านอกแห่งหนึ่ง จังหวัดบูเส็น หัวเมืองทางใต้ ณ ที่นั้นหนุ่มซีนก่ายได้เข้าอาศัยวัดแห่งหนึ่ง อยู่เป็นลูกศิษย์พระ ไม่นานก็ขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ซึ่งในศาสนาที่เขาสนใจใหม่นี้เอง หนุ่มซีนก่ายได้พบว่า คำสอนพุทธศาสนา มีแต่ว่าด้วยเรื่องที่เขากำลังฉงนสนเท่ห์อยู่ทีเดียว คือในปัญหาข้อที่ว่า ทำอย่างไร คนเราจะอยู่อย่างชนะภัยอันเกิดจากรูป เสียง กลิ่น รสได้ และควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นไปตามความต้องการฝ่ายต่ำ ที่มีประจำอยู่เองแล้วในใจ
        เมื่อมาเป็นตัวของตัวได้ ในบวรพุทธศาสนาแล้วก็ทำให้หวนไปถึงเมื่อครั้งที่ตนยังซัดเซในสงสารสาครแต่อดีต ภิกษุหนุ่มซีนก่ายจึงปรารภจะชดใช้ความกระดำกระด่างในชีวิตอดีต ด้วยสำนึกบาป ไถ่ถอนด้วยกรรมดี กรรมที่มีประโยชน์จวบเท่าชีวิตนี้จะหาไม่ ในถิ่นที่ท่านบวชอยู่นั้นชาวบ้านชาวช่องยากจนข้นแค้น เป็นอำเภอเล็กๆ ไปมาติดต่อกับตัวจังหวัดเพียงทางเท้าเล็กๆที่ต้องค่อยเดินเรียงหนึ่ง เลียบหินผาของภูเขาสูง ซึ่งกางกั้นกิ่งอำเภอกับตัวจังหวัด ถ้าวันไหนฝนตกฟ้าร้อง หิมะตก หรือลมแรงก็ไปมาไม่ได้ และท่านยังได้ทราบว่าแต่ละปีมีเสมอที่คนข้ามเขาได้พลัดลื่น หล่นจากชะง่อนผาสูงลงไปตายเสียมากต่อมาก สุดที่จะมีใครคิดแก้ไขประการใด หากใครอยู่ทางกิ่งอำเภอหลังเขานี้แล้ว ก็เป็นอันแน่ว่าจะต้องอดอยาก ลำเค็ญ แม้มีเงินก็ไม่มีค่า ชาวบ้านโดยมากยากจนไม่อาจเพาะปลูกอะไร เพื่อเอามาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมืองได้ก็นำไปนำมาก็ไม่ได้มาก แม้มีใครเจ็บป่วยลง ไม่พอที่จะตายก็ต้องปล่อยให้ตายไป เพราะไม่สามารถจะพากันหามคนไข้คนเจ็บ ไต่ไหล่หินข้ามมายังตัวจังหวัดได้
        ภิกษุหนุ่มมานั่งคำนึกถึงทุกข์ยากของคนหมู่มาก เห็นความเป็นไปของมนุษย์ด้วยกัน ที่แม้จะอยู่ไม่ห่างกันนัก แค่เขากั้นเท่านั้น ก็ยังแตกต่างยากไร้กว่ากันมากเห็นปานนี้ ท่านเห็นว่า จะปล่อยให้ไม่มีทางแก้ไขเช่นนี้อยู่เรื่อยไป ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่เอง มีทางเดียว คือเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาเอาดื้อๆ เพราะไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว ครั้นจะพูดเรื่องนี้กับใครก็คงไม่มีใครเขาเห็นด้วย ความคิดอย่างนี้มันคิดได้ แต่ใครจะทำ ฉะนั้นภิกษุหนุ่มของเราจึงตัดสินใจเริ่มสกัดหิน เริ่มงานมันคนเดียว โดยไม่คำนึงว่าภูเขาที่เขาไปนั่งสกัดทีละสะเก็ดๆอยู่นั้น มันสูงตระหง่านค้ำฟ้าเพียงไร
        ท่านภิกษุซีนก่าย ใช้เวลาในตอนเช้าออกบิณฑบาต เวลานอกนั้นอุทิศให้แก่หินที่ภูเขานั้นทั้งหมด เมื่อมันเหนื่อยก็พักเสีย มีเรียวแรงคืนมาก็ทำต่อ เป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะค่ำจะมืด นานๆจะมีคนเดินผ่านมาทางนั้น คนพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะ ถามว่าท่านจะสร้างถ้ำหรือจะสร้างวัด แล้วต่างก็มองตากันอย่างไม่ไว้ใจว่าท่านองค์นี้ สติยังบริบูรณ์อยู่หรือ ดูไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าท่านทำ เพราะทำตามประสาที่ไม่มีอะไรจะทำนั่นเอง
        วันเวลาผ่านไปนานถึง ๓๐ ปี ภิกษุองค์หนึ่งเคยนั่งสกัดหินมาตั้งแต่ยังหนุ่ม บัดนี้ก็ยังคงนั่งสกัดเอาๆไม่ลดละ แม้ท่านจะมีอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายของท่านก็ยังรับใช้จิตใจที่บึกบึนแข็งกว่าหินได้เป็นอย่างดี ไม่มีใครทราบหรอกว่าท่านเอาน้ำอดน้ำทนมาจากไหน เอาเรี่ยวแรงเอากำลังใจมาจากไหน นอกจากตัวท่านเอง เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้จึงทำให้จังหวัดบูเส็น ที่ท่านเลือกเอาเป็นถิ่นปฏิบัติธรรมของท่านได้มีอุโมงค์เจาะลอดภูเขาใหญ่เชื่อมการคมนาคมติดต่อระหว่างกิ่งอำเภอ ที่ครั้งหนึ่งแสนจะทุรกันดารให้เปิดมาสู่ความเจริญในเมืองได้ในปัจจุบันนี้ แม้ใครไปญี่ปุ่น ไปเมืองบูเส็นก็ยังจะพบอุโมงค์อันมีประวัติที่เจาะด้วยแรงคน และเป็นแรงคนที่เกิดจากพลังธรรมะในพุทธศาสนา อุโมงค์นี้สมัยแรก มีแนวคด ไม่เกลี้ยงเกลาอยู่บ้าง บัดนี้เป็นอุโมงค์ที่มีขนาดกว้าง ๓๐ ฟุต สูง ๒๐ ฟุต ทะลุภูเขายาว ๒,๒๘๐ ฟุต(ค่อนๆไปเกือบ ๑ กิโลเมตรหรือครึ่งๆถ้ำขุนตาลของไทยเรา)
        มีเรื่องเล่าต่อไปอีหน่อยว่า ก่อนที่อุโมงค์จะสำเร็จใช้เดินถึงกันได้สัก ๒ ปีนั้น ได้มีชายคนหนึ่ง ซอกซอนมาจากเมืองกรุง ปรากฏภายหลังว่าเป็นบุตรชายของท่านขุนนางเจ้านายเก่าที่ตายไป ชายหนุ่มคนนี้ขณะบิดาถูกฆ่าเขายังเล็กๆอยู่ พอโตขึ้นก็ผูกใจเจ็บ เที่ยวถามติดตามมาหลายปี พร้อมกับหัดเป็นนักดาบมาอย่างช่ำชอง พอแน่แล้ว ก็จะเข้ามาเอาชีวิตเพื่อล้างแค้น แต่ยังมีติดขัดอยู่ว่า มาเห็นคนฆ่าพ่อของเขา บัดนี้อยู่ในแบบฟอร์มพระภิกษุแล้ว เพื่อไม่เป็นการฆ่าผิดตัว จึงถามเอาตรงๆพอท่านซีนก่ายถูกถามเช่นนั้นก็รับว่าเป็นนายซีนก่ายที่เขาต้องการพบและต้องการฆ่า ท่านไม่มีอาการผิดปรกติแต่อย่างไร แต่พูดจาชี้แจงให้ชายหนุ่มคนนั้นฟังว่า ท่านกำลังทำงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากมาย และจะสำเร็จอยู่แล้ว ขอผ่อนผันให้ท่านได้สกัดหินต่อไป เท่าที่ชายหนุ่มนั้นก็เห็นอยู่แล้วว่าเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เมื่อเสร็จวันใด ท่านยอมใช้กรรม ให้ตัดศีรษะในวันนั้นทีเดียว ชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลงเพราะมองเห็นจริงๆว่าถ้าท่านไม่ทำต่อ งานชิ้นสำคัญต่อสังคมส่วนใหญ่นี้ จะเป็นอันยกเลิกไปเสีย
        ทีแรกหนุ่มชาวกรุงก็ยังไม่วางใจนัก ว่าคนที่เคยฆ่าพ่อของตน จะไม่เป็นคนลอบทำร้ายตนก่อน ต้องเหน็บดาบและมีดระแวดระวังตัวแจอยู่ และคอยเวียนไปที่อุโมงค์นั้นอยู่เสมอๆ เพื่อจะรู้ว่าท่านชิงหนีไปเสียที่ไหน หรือท่านจะคอยถ่วงเวลา สกัดช้าๆให้เวลาเนิ่นนานไป เมื่อมีการไปพบหลานหนหลายครั้งและเคยยืนดูท่านกำลังทำงานอยู่อย่างเสม่ำเสมอ ไม่ลดละทั้งคืนทั้งวัน ก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด นานเข้า ก็มีการปรารภชวนท่านคุย และถามนั่นถามนี่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน หินของภูเขาก็ถูกสกัดกร่อนไปเรื่อยๆ หนุ่มลูกชายของท่านขุนนาง เมื่อยืนเฝ้าดู จนเมื่อยแล้วก็เริ่มนั่งคุย การได้สังสนทนากันจึงเป็นที่แน่ใจว่าท่านรู้สึกนึกคิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆว่าอย่างไร เมื่ออยู่เฉยๆไม่รู้จะทำอะไร ก็ลองสกัดหินช่วยท่านซีนก่ายไปพลาง เรื่องเลยกลายเป็นได้ร่วมงาน ร่วมกิน ร่วมนอนด้วยกันในอุโมงค์ค์นั้นนั่นเอง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักทำงานโดยตั้งจิตไว้ในธรรมปฏิบัติ ตามแบบที่ท่านซีนก่ายแนะให้ ทำไป-ทำไปได้โดยไม่หยุดยั้งเหมือนกัน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่าขวบปีอย่างไม่รู้สึกว่านาน ตลอดเวลา ชายหนุ่มได้เลียนลอกแบบเอาคุณธรรมที่ตนได้เห็น ได้ค้นพบ ที่เนื้อที่ตัวของท่านซีนก่านนั่นเอง ว่าท่านองค์นี้ ช่างเต็มไปด้วยบุคลิกภาพพิเศษและความเป็นผู้มีใจสิงห์เหลือเกิน
        ในที่สุดอุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ก็สำเร็จลุล่วง ผู้คนพากันมาดู และได้ใช้เป็นหนทางติดต่อกับตัวเมือง ไม่ได้รับความยากลำบากที่จะต้องไต่ไปตามไหล่หินชันอีกต่อไป พอเสร็จในวันนั้น ท่านซีนก่ายก็เหลียวมายังชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างหลัง กำลังมองดูความสำเร็จที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย ท่านได้พูดขึ้นว่า "เราตัดภูเขาแท่งทึบ เชื่อมให้คนติดต่อถึงกันได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนที่ คอที่ต่อศีรษะติดต่อกับร่างกายของฉัน ได้เวลาขาดออกจากกันตามสัญญาแล้ว" พูดแล้วก็ค้อมกายยืนไปให้ชายหนุ่มลูกศิษย์เชลยศักดิ์ของท่านโดยดี ชายหนุ่มน้ำตานองหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่า มือทั้งสองพนมไหว้ พลางกล่าวว่า "หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของบุคคลที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไร"นิทานก็จบ.

         คติธรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่มีคติสอนใจอยู่ในตัวแล้ว คือสอนว่าชีวิตจะเป็นไปตามความคิดของตนเองและสภาพแวดล้อม ถ้าอยู่ในสภาวะใดก็มักจะเป็นไปตามสภาวะนั้น และยังสอนถึงว่าการทำงานนั่นเองที่เป็นการปฏิบัติธรรม โดยทำงานด้วยความตั้งใจโดยไม่คำนึกถึงว่าจะได้รับผลหรือไม่ แล้วก็จะได้รับทั้งความสุขในขณะทำงานและได้ทั้งผลงานอีกด้วย
|next|






Free Web Hosting