ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง

************

เรื่องการเกิดและดับ

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อร่างกายตาย แต่ถ้าจิตที่เป็นตัวเรานี้ยังมีกิเลสอยู่ มันจะยังสามารถเกิดขึ้นมาได้ใหม่ในร่างกายใหม่เรื่อยไป เพื่อมารับผลกรรมที่กิเลสของจิตเก่าได้ทำเอาไว้ก่อนร่างกายตาย  

แต่ในความเป็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนี้เลย คือคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่านั้น เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ที่ผสมหรือปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว ส่วนคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นจะสอนว่า เมื่อสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นต้องดับไป คือเมื่อมีเหตุมันก็เกิด แต่เมื่อเหตุของมันดับหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นก็ย่อมที่จะดับหายตามไปด้วยทันที ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาแล้วจะไม่ดับหายไป อย่างเช่นเชื่อกันว่า จิตที่เป็นเราที่ยังมีกิเลสอยู่ จะไม่ดับหายไปเมื่อร่างกายตาย แต่จะเกิดขึ้นมาได้ใหม่เรื่อยไป เป็นต้น ที่ตรงข้ามกับหลักของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง

จากหลักหรือกฎดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ว่า “สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับหายไปเป็นธรรมดา” นี้ก็บอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า เมื่อสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นต้องดับ ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาแล้วจะไม่ดับ อย่างเช่น เมื่อจิตที่เป็นตัวตนเฉพาะของเรานี้ได้ดับหายไป เพราะร่างกายนี้ตายไป จิตที่เป็นตัวตนเฉพาะของเรานี้ก็ย่อมที่จะดับหายตามร่างกายไปด้วยทันที ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจิตที่เป็นตัวตนเฉพาะของเราจะเกิดขึ้นมาได้ใหม่อีกในร่างกายใหม่ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าขัดแย้งกับหลักดวงตาเห็นธรรมอย่างเต็มที่ คือกลายเป็นว่าจิตที่เป็นตัวตนเฉพาะของเรานี้มันไม่ยอมดับไปตามร่างกาย ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่สอนเรื่องจิตเป็นอัตตา ที่หมายถึง ตัวตนที่แท้จริง ที่จะไม่ดับหายไป แม้ร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม

บางคนอาจจะโต้แย้งว่า “จิตเก่าในร่างกายเก่านี้มันก็ดับไปตามร่างกายเก่าอยู่แล้ว ส่วนจิตใหม่มันก็เกิดขึ้นมาใหม่ในร่างกายใหม่ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจิตเก่าเพราะจิตเก่าไม่ได้ออกไปเกิดในร่างกายใหม่อย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอน แต่เป็นว่าจิตใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้น มันเกิดขึ้นมาเพื่อมารับผลของกรรมที่จิตเกิดได้ทำไว้ก่อนตาย” ซึ่งนี่ก็เป็นการพูดเลี่ยงเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับหลักดวงตาเห็นธรรม แต่ความจริงมันก็ขัดแย้งกับหลักดวงตาเห็นธรรมอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เพราะมันก็มีค่าเท่ากับยังมีจิตที่เป็นตัวตนเดิมเกิดขึ้นมาได้ใหม่อยู่เรื่อยไป ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง การที่มาบอกว่าจิตเก่ากับจิตใหม่ไม่เกี่ยวข้องกันจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล หรือการที่บอกว่าเป็นเพราะกรรมเก่าทำให้เกิดจิตใหม่ขึ้นเพื่อมารับผลของกรรมเก่านั้น ก็เท่ากับยังมีความเห็นว่ากรรมนั้นไม่ได้ดับไปตามจิต แต่มันสามารถที่จะตั้งอยู่ได้โดยไม่ต้องมีจิตก็ได้ และกรรมนี้มันมีอำนาจหรือพลังวิเศษเหนือกฎดวงตาเห็นธรรม ที่จะไปสร้างจิตขึ้นมาใหม่เพื่อมารับผลของกรรมเก่า ซึ่งถ้าเชื่ออย่างนี้เท่ากับยังมีความเข้าใจว่า กรรมนั้นเกิดแล้วไม่ยอมดับไปตามจิต ซึ่งก็ขัดแย้งกับกฎดวงตาเห็นธรรมอย่างเต็มที่อยู่แล้ว    

สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นต้องดับ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จิตเก่าจะดับไปแล้วจะเกิดขึ้นมาได้ใหม่ เพื่อมารับผลกรรมของจิตเก่าที่ได้ทำไว้ก่อนร่างกายตาย เพราะถ้าเป็นอย่างนี้มันก็เท่ากับเป็นความเชื่อว่าจิตนี้มันไม่ได้ดับไปจริง ซึ่งก็เท่ากับขัดแย้งกับกฎดวงตาเห็นธรรมอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่ชาวพุทธที่ไม่ศึกษาหลักดวงตาเห็นธรรมนี้ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็ยังมีความเชื่อกันผิดๆอยู่ต่อไปว่า จิตของเรานี้ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็จะยังเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ต่อไป จนกว่าจะหมดกิเลสจึงจะไม่เวียนว่ายตาย-เกิดอีกอย่างถาวร ตามหลักของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง  

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************
Free Web Hosting