ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง

************

เรื่องพระธรรม

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า คำสอนเรื่องนิพพานนั้น เป็นคำสอนสำหรับคนที่เบื่อโลกเท่านั้น เพราะเชื่อว่าคนที่นิพพานแล้วก็จะดับสูญหรือจะไม่กลับมาเกิดอีก ส่วนคนที่ยังติดอยู่ในโลกพระพุทธเจ้าก็จะสอนให้ละเว้นการทำความชั่ว เพื่อที่ว่าเมื่อตายแล้วจะได้ไม่ต้องถูกลงโทษในนรก ที่เชื่อว่าอยู่ใต้ดินอย่างนานแสนนาน และสอนให้ทำความดี เพื่อที่ว่าเมื่อตายแล้วจะได้รับรางวัลโดยการได้ขึ้นสวรรค์ ที่เชื่อว่าอยู่บนฟ้าอย่างนานแสนนาน

แต่ในความเป็นจริงนั้น คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นจะสอนว่า ถ้าเราอยากจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีความเดือดร้อนในปัจจุบัน ก็อย่าทำความชั่วทั้งปวง และถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขในปัจจุบัน ก็ให้ทำความดีให้ครบถ้วน แต่ถึงแม้ใครจะมีชีวิตที่ปกติสุขอย่างมั่นคงแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ของจิตใจ ที่เกิดจากความยึดถือว่ามีตนเองที่ แก่, เจ็บ, ตาย, และพลัดพรากความบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักเป็นต้น ที่เป็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคนได้ ดังนั้นถ้าใครอยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ หรือมีความทุกข์น้อยลง ก็ให้มาศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔ ที่เป็นหลักการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงโดยใช้ปัญญา ศีล และสมาธิมาทำงานร่วมกัน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องชาติหน้าหรือเรื่องภายหลังจากตายแล้วเลย เพราะเป็นคำสอนในเรื่องของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันอย่างปกติสุขและไม่มีความทุกข์เท่านั้น แต่เมื่อศึกษาจนเกิดปัญญาเข้าใจในชีวิตและโลกแล้ว ก็จะเข้าใจเรื่องภายหลังจากตายแล้วได้เอง โดยไม่เชื่อจากใครๆหรือตำราใดๆ

ส่วนคำสอนเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า และนิพพานดับสูญนั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ที่ได้ผสมหรือปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้ามาช้านานแล้ว ภายหลังที่พรพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่นาน โดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว  ซึ่งพุทธศาสนาก็จัดคำสอนนี้ไว้ฐานะที่เป็นคำสอนระดับศีลธรรมที่ต้องใช้ความเชื่อนำการปฏิบัติ ที่ผสมเข้ามาในภายหลังเท่านั้น

โดยคำสอนเรื่องนรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าและนิพพานดับสูญนั้น เป็นคำสอนที่ลึกลับ ไกลตัว อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ไม่มีของจริงมายืนยัน มีแต่สอนให้เชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่สงสัย ซึ่งตรงข้ามกับคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าที่จะต้องเป็น สันทิฏฐิโก คือเห็นเอง, อกาลิโก คือไม่มีเรื่องเวลามาครั่นกลางหรือปฏิบัติเมื่อไรก็ให้ผลเมื่อนั้น, โอปนยิโก คือน้อมเข้ามาศึกษาที่ตนเอง, ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ คือผู้ที่มีปัญญาและมีใจเป็นกลางจะพึงรู้ได้เฉพาะตน ส่วนผู้ที่ไม่มีปัญญาหรือไม่มีใจเป็นกลางจะไม่สามารถรู้ได้

สรุปว่า คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้น จะสอนเรื่องการดำเนินชีวิตในปัจจุบันที่ปกติสุขอย่างมั่นคงและไม่มีความทุกข์หรือมีความทุกข์ให้น้อยที่สุด โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ คือมีเหตุผล ไม่งมงาย และจะสอนเฉพาะเรื่องที่เป็นจริงในชีวิตปัจจุบันเท่านั้น จึงเป็นคำสอนที่ผู้มีปัญญาจะชื่นชอบ ส่วนคำสอนที่เป็นความเชื่อเรื่องชีวิตภายหลังจากการตายแล้วนั้น เป็นคำสอนที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง ที่พุทธศาสนาก็รับไว้ในฐานะว่าเป็นคำสอนระดับศีลธรรม ซึ่งเหมาะสมสำหรับคนที่ยังมีสติปัญญาไม่มากพอจะนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ชีวิตมีความปกติสุข แต่ความเชื่อนี้ไม่สามารถนำมาปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้  เพราะหลักการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องใช้ปัญญาเป็นตัวนำ จะใช้ศรัทธาหรือความเชื่อเป็นตัวนำไม่ได้เด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนได้

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************
Free Web Hosting