อะไรคือการประหยัด?
คำว่าประหยัด หมายถึง การใช้จ่ายเฉพาะในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งการประหยัดจะอยู่ตรงกลางระหว่างคำว่าตระหนี่กับฟุ่มเฟือย คือถ้าตระหนี่ก็หมายถึงการไม่ยอมใช้จ่ายแม้ในสิ่งที่จำเป็น ส่วนคำว่าฟุ่มเฟือยก็หมายถึงการใช้จ่ายที่เกินจำเป็น การประหยัดจึงเป็นทางสายกลางของการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
คนที่ตระหนี่นั้นในปัจจุบันคงจะมีน้อย ถ้าใครตระหนี่ได้จริงก็คงจะไม่เดือดร้อนมากมายนัก และอาจจะร่ำรวยได้ในภายหลัง เหมือนที่เขาเล่ากันมาว่าคนจีนมาจากเมืองจีนไม่มีอะไรมาเลย แต่พอมาอยู่เมืองไทยก็ค่อยๆทำมาหากินโดยไม่ใช้จ่ายอะไรแม้จะจำเป็น ซึ่งต่อมาเขาก็มีฐานะที่มั่นคงหรือร่ำรวยกันไปหมด ส่วนคนไทยก็ยังยากจนอยู่เหมือนเดิมเพราะมีนิสัยฟุ่มเฟือย
ส่วนคนที่ฟุ่มเฟือยนั้นปัจจุบันมีมากมายโดยไม่รู้ตัว คือไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย เพราะเกิดมาพร้อมกับความฟุ่มเฟือยเสียจนไม่รู้จักว่าการประหยัดเป็นอย่างไร คือคิดไปว่าการประหยัดนั้นเป็นการตระหนี่ไปเสีย
การใช้จ่ายที่ประหยัดนั้นเราจะต้องมองดูตัวเราเองก่อนว่าเรากิน เราใช้ หรือเรามีอะไรที่มันไม่จำเป็นที่จะต้องกิน ที่จะต้องใช้ หรือที่จะต้องมีบ้าง เมื่อพบแล้วก็หยุดมันเสียแล้วจึงจะเรียกว่าประหยัดจริง
ทีนี้ปัญหามันก็อยู่ที่ว่า ใครๆก็คิดว่าตัวเองประหยัดที่สุดแล้ว แต่ก็ยังดื่มน้ำอัดลม สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เที่ยวกลางคืน กินอาหารราคาแพง ใช้เครื่องประดับ บ้าแฟชั่น แต่งตัวโก้ บ้ามือถือ บ้าเทคโนโลยี่ ใช้ยานพาหนะราคาแพง เป็นต้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้เขาอยู่ในแวดวงของสังคมที่ฟุ่มเฟือยมาเสียจนติดเลิกไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เขาก็คิดว่ามันเดือดร้อนเพราะใครๆรอบตัวเขาก็มีกันทั้งนั้น นี่เรียกว่าเป็นการประหยัดบนความฟุ่มเฟือย หรือลดความฟุ่มเฟือยลงนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับคนยากจนตามบ้านนอกที่เขาไม่ค่อยจะมีกิน ที่กินข้าวกับปลาร้า หรือกินข้าวกับน้ำพริกผักจิ้มแล้วเขาก็เปรียบได้กับเทวดาดีๆนี่เอง
ในเมืองหลวงก็เหมือนกับสวรรค์ที่มีแต่เทวดาที่สุขสบาย เสพแสง สี เสียงที่ฟุ่มเฟือยอย่างมากกันอยู่ทั้งวัน ซึ่งสิ่งฟุ่มเฟือนเหล่านั้นจะต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานเช่นน้ำมันมาสร้างและส่งเสริมให้เกิดขึ้น และแน่นอนว่าทรัพยากรและพลังงานทั้งหลายก็ต้องซื้อหามาจากที่อื่น เช่น ต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด ถ้าเรามีเงินซื้อมันก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเรามีเงินน้อยมันก็ต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน คือทำให้ไม่มีสิ่งฟุ่มเฟือยมาเสพมากเหมือนเก่า ซึ่งเมื่อเทียบกับคนยากจนแล้วเขาก็ยังร่ำรวยอยู่นั่นเอง
ปัจจุบันสื่อต่างๆโดยเฉพาะโทรทัศน์ได้ครอบงำผู้คนเกือบทั้งประเทศให้เป็นพวกวัตถุนิยมกันไปเสียหมดแล้ว คือทำให้บ้าเรื่องสวย เรื่องงามซึ่งเน้นไปที่เรื่องทางเพศ และบ้าวัตถุสิ่งของที่มียี่ห้อราคาแพง รวมทั้งบ้าเด่นบ้าดัง บ้าเกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จัดเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยทั้งสิ้น
ความฟุ่มเฟือยย่อมนำมาซึ่งความสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เช่นถ้าเราใช้ของที่ทันสมัยและมียี่ห้อราคาแพง ก็ทำให้หมดเงินไปมากเพราะของเหล่านี้จะมีออกมาขายอยู่เรื่อยๆ เราก็ต้องทิ้งของเก่าและซื้อของใหม่มาใช้อยู่เรื่อยๆ แล้วเงินของเราก็ลดน้อยลง เหลือน้อยลง เป็นต้น ยิ่งถ้าเราฟุ่มเฟือยมากๆ ก็แน่นอนว่าเงินย่อมไม่พอที่จะใช้จ่าย แล้วก็ต้องกู้เขามาใช้ เช่นใช้บัตรเครดิต แล้วก็ต้องเสียดอกแพง หรือมีหนี้สินท่วมตัว และเมื่อผู้คนเป็นเช่นนี้กันมากๆ ประเทศชาติหรือผู้คนส่วนรวมก็มีสภาพเดียวกัน คือกู้เงินต่างชาติเขามาใช้ และเสียดอกแพง มีหนี้สินท่วมตัว สุดท้ายก็ต้องตกเป็นทาสเขาด้วยความยินยอม (คือยอมทำงานหนักเพื่อผลเพียงเล็กน้อย แต่ผลส่วนใหญ่เป็นของเจ้านายหมด)
การแก้ปัญหานั้นมันก็ยาก เพราะมันเหมือนการติดยาเสพติด หรือยิ่งกว่านั้น เราต้องค่อยๆปลูกฝังความรู้และจิตสำนึกให้แก่ผู้คน โดยเฉพาะเด็กไทยของเรา ให้รู้จักการประหยัดที่แท้จริง และควบคุมสื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์ให้เสนอสิ่งที่เป็นความรู้หรือสาระให้มากกว่านี้ เพื่อเสริมสร้างสติปัญญาให้แก่คนไทยให้เป็นอิสระกันมากขึ้น ส่วนนโยบายที่ให้ประหยัดการใช้พลังงานของรัฐบาลในปัจจุบันนี้จัดว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุคือที่ความฟุ่มเฟือยของประชาชน คือเราต้องสอนให้ผู้คนรู้จักประหยัดตั้งแต่ยังเรายังมีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือ ไม่ใช่จะมาสอนเอาตอนที่ขาดแคลนแล้ว หรือจะมาบังคับให้ผู้คนประหยัดเมื่อยามขาดแคลน แต่พอไม่ขาดแคลนก็ไม่บังคับ ซึ่งก็จะทำให้ผู้คนก็จะกลับมาฟุ่มเฟือยกันต่อไปอีก แล้วมันก็จะกลายเป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ (คือแก้ไขไม่ได้).
เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************
|