วิญญาณ เป็น อนัตตา

คำว่า วิญญาณ แปลว่า แจ้ง หรือหมายถึงการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย (คือ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ ที่เรียกว่าอายตนะภายใน ที่หมายถึง สิ่งเชื่อมต่อที่เป็นภายใน) คือเมื่อระบบประสาทเหล่านี้ได้กระทบกับสิ่งภายนอกที่คู่กัน (คือ รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สิ่งสัมผัสกาย,สิ่งสัมผัสจิต ที่เรียกว่าอายตนะภายนอก ที่หมายถึง สิ่งเชื่อมต่อที่เป็นภายนอก หรือบางทีก็เรียกว่า อามรมณ์ ที่หมายถึง ที่หน่วงเอาของจิต) ก็จะเกิดวิญญาณหรือการรับรู้ขึ้นมาที่ระบบประสาทเหล่านั้นทันที  เช่น เมื่อรูปมากระทบตาก็จะเกิดวิญญาณทางตาขึ้น หรือเกิดการรับรู้รูปหรือเห็นรูปขึ้น หรือเมื่อมีเสียงมากระทบหู ก็จะเกิดวิญญาณทางหูหรือเกิดการได้ยินเสียงขึ้น เป็นต้น แต่ถ้าไม่มีระบบประสาทหรือระบบประสาทเสียหรือไม่ทำงาน ก็จะไม่มีวิญญาณ เช่นเมื่อตาบอด ก็จะไม่เห็นรูป หรือเมื่อหูหนวก ก็จะไม่ได้ยิเสียง เป็นต้น ซึ่งนี่คือวิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน ที่มีลักษณะเป็นอนัตตา คือไม่ได้เป็นวิญญาณที่เป็นตัวตน (อัตตา) ของเราหรือของใครๆ แต่เป็นแค่เพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวตามระบบประสาทของร่างกายที่ยังดีอยู่เท่านั้น ถ้าไม่มีระบบประสาทของร่างกาย ก็จะไม่มีวิญญาณ ซึ่งวิญญาณนี้เองที่เมื่อมีความทรงจำจากสมองมาร่วมด้วย มันก็จะปรุงแต่งให้เกิดเป็นจิตหรือใจ ที่รู้สึกนึกคิดได้ และรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมาอีกที

คำว่า อัตตา หมายถึง ตัวตนของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งใดๆมาปรุงแต่งหรือสร้างมันขึ้นมา ซึ่งจะมีลักษณะเป็นอมตะ คือจะไม่มีวันดับหายไปอย่างเด็ดขาด ซึ่งคำสอนเรื่องอัตตานี้เป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ที่เชื่อว่าจิตหรือวิญญาณของคนเรานี้หรือของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นอัตตา ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ และไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้ จนทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม รวมทั้งเรื่องกรรมจากชาติก่อนด้วย เป็นต้นขึ้นมา และความเชื่อนี้เมื่อหลังพุทธปรินิพพานก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า และสืบทอดมาจนถึงเราในปัจจุบันโดยชาวพุทธไม่รู้ว่าไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง

สรุปได้ว่า ถ้าเป็นคำสอนเรื่องวิญญาณเป็นอัตตาที่เวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายได้ จะไม่ใช่วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่สอนว่าวิญญาณเป็นอัตตา หรือตัวตนอมตะ ส่วนวิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นก็คือเรื่องการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามระบบประสาททั้ง ๖ เพียงชั่วคราว โดยอาศัยสิ่งภายนอกมากระทบกับระบบประสาทของร่างกาย จึงจะเกิดวิญญาณหรือการรับรู้ขึ้นมาได้ที่ระบบประสาทนั้น เหมือนแผ่นโซล่าร์เซลล์ที่เมื่อกระทบกับแสงแดด ก็จะเกิดไฟฟ้าขึ้นมาได้ จึงขอให้ชาวพุทธเข้าใจเรื่องวิญญาณเป็นอนัตตาของพระพุทธเจ้านี้ให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้นำความเข้าใจนี้มาใช้ในการพิจารณาจิตใจของเราและของทุกชีวิตเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า "แท้จริงมันไม่ได้มีตัวเราหรือตัวตนของใครๆอยู่จริงในชีวิตทั้งหลายเลย" เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้วจะได้นำความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาเพื่อใช้ดับทุกข์ใจในปัจจุบันของเราตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้ากันต่อไป

เตชปัญโญ ภิกขุ   ๑๕ มกราคม   พ.ศ. ๒๕๕๗

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)

*********************
Free Web Hosting