อัตตาครึ่งท่อน ที่ชาวพุทธกำลังเชื่อกันอยู่

คำว่า อัตตา นี้เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ที่สอนว่า จิต (หรือ วิญญาณ) ของคนเรานี้เป็นตัวตนอมตะ ที่ไม่มีวันดับหายไปอย่างเด็ดขาด จึงสามารถที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ และเมื่อออกจากร่างกายที่ตายแล้วก็สามารถไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งลักษณะของอัตตานี้จะไม่ต้องอาศัยสิ่งใดมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา คือมันจะมีตัวตนเป็นของมันเอง ดังนั้นมันจึงมีลักษณะเที่ยงแท้ถาวรหรือมีอยู่ตลอดไปไม่มีวันดับสลาย(นิจจัง) อีกทั้งยังไม่มีสภาวะที่ต้องทนอยู่อีกด้วย (สุขัง) โดยอัตตาของเราแต่ละคนนี้เรียกว่า อัตตาน้อย ที่แยกมาจาก อัตตาใหญ่ หรือ ปรมอัตตา อีกที ซึ่งอัตตาน้อยนี้จะมีกิเลสครอบงำอยู่ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรมที่ได้ทำไว้ก่อนตายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะปฏิบัติตามหลักของศาสนา จนกิเลสหมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง อัตตาน้อยนี้ก็จะกลับไปรวมกับอัตตาใหญ่ได้อย่างนิรันดร ซึ่งความเชื่อเรื่องอัตตานี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมและการรับผลกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น อีกด้วย

คำสอนเรื่องอัตตาอย่างของพราหมณ์นี้ได้เข้ามาครอบงำคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง “จิตเป็นอนัตตา” เอาไว้ตั้งแต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้วประมาณ ๘๐๐ ปี และได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันโดยชาวพุทธไม่เข้าใจความหมายของคำว่า อัตตา และ อนัตตา ที่แท้จริงนั้นว่าเป็นอย่างไร คือถึงจะพูดว่า “จิตเป็นอนัตตา” แต่ก็เข้าใจความหมายไปว่า “จิตเป็นอัตตา” โดยไม่รู้ตัว เพราะคำว่า อนัตตา นี้เป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่าจะมีสิ่งที่เป็นอัตตาอยู่ในร่างกายและจิตใจ (ขันธ์ ๕) ของเราได้ เพราะคำว่า จิตเป็นอนัตตานี้จะหมายถึงว่า จิตนี้ไม่ใช่อัตตาอย่างของพราหมณ์ แต่มันเป็นเพียง "สังขาร" หรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง (หรือสร้างหรือประกอบ) ขึ้นมาจากเหตุและปัจจัย (หรือสิ่งอื่น) เท่านั้น ซึ่งเหตุที่ปรุงแต่งให้เกิดจิตนี้ขึ้นมาก็คือร่างกาย ส่วนปัจจัยก็คือความทรงจำ โดยร่างกายก็ปรุงแต่งให้เกิดการรับรู้ (วิญญาณ) และเนื้อสมองที่มีความทรงจำอยู่ แล้วการรับรู้และความทรงจำ มันก็ร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดจิตที่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมาได้ เมื่อเหตุ (คือร่างกาย) ที่ปรุงแต่งให้เกิดจิตนี้ขึ้นมาได้แตกสลายไป (หรือตาย) จิตนี้ก็ย่อมที่จะดับหายตามไปด้วยทันที ตามกฎอิทัปปัจจยตาที่เป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติที่สรุปว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น"

เมื่อจิตเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา ดังนั้นมันจึงมีความไม่เที่ยงแท้ถาวร (อนิจจัง) คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และไม่ช้าก็เร็วจิตนี้ก็ต้องดับหายไปอย่างแน่นอน ไม่สามารถตั้งอยู่ได้อย่างเป็นอมตะเหมือนอัตตาของพราหมณ์ ซ้ำขณะที่จิตยังตั้งอยู่มันก็ยังต้องมีความรู้สึกที่ต้องทนอยู่อีกด้วย คือถ้าทนได้ง่ายก็เรียกว่า สุข แต่ถ้าทนได้ยากก็เรียกว่า ทุกข์ (ทุกขัง) ซึ่งนี่คือลักษณะของจิตที่เป็นอนัตตา ที่ไม่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ถ้าเราเข้าใจเรื่องจิตเป็นอนัตตาอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะไม่มีความเชื่อเรื่องที่ว่าจิตจะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้อย่างของพราหมณ์ รวมทั้งก็จะไม่มีความเชื่อเรื่องว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมและการรับผลกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น อีกด้วย เพราะเข้าใจแล้วว่า “ไม่มีตัวตนที่เป็นเราอยู่จริง” คือเท่ากับว่า “ไม่มีตัวตนที่เป็นเรามาเกิด” และ “ไม่มีตัวตนที่เป็นเราที่จะไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้” ไม่ว่าก่อนตายจิตจะยังมีกิเลสหรือไม่ก็ตาม

แต่ว่าชาวพุทธเกือบทั้งหมดในปัจจุบันจะมีความเข้าใจผิดไปว่า ตราบใดที่จิตยังมีกิเลสอยู่ จิตจะไม่มีวันดับหายไปแม้ร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าจิตไม่มีกิเลส เมื่อร่างกายตาย ก็เข้าใจว่าจิตจะดับสูญไปเลย คือบางคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องอนัตตามาก่อนก็จะเข้าใจผิดว่า จิต (หรือวิญญาณ) ของเรานี้จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ แต่บางคนที่เคยศึกษาเรื่องอนัตตามาบ้าง ก็จะเข้าใจว่ามันไม่มีจิตชนิดที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ เพราะถ้าเข้าใจเช่นนี้ก็จะกลายเป็นว่า จิตของคนเรานี้เป็นอัตตาอย่างของพราหมณ์ไปทันที ดังนั้นคนที่พอจะมีความรู้เรื่องอนัตตามาบ้างก็จะไม่เชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายที่ตายแล้วได้ แต่ก็ยังเชื่อว่าก่อนตายถ้าจิตยังไม่หมดกิเลสหรือยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ เมื่อตายไปแล้วกิเลสหรืออวิชชานี้ก็จะมาเป็นเหตุให้เกิดจิตขึ้นมาใหม่ในร่างกายเด็กที่เริ่มเกิดขึ้นในท้องสตรีหรือสัตว์เพศเมียที่กำลังผสมพันธุ์อยู่ได้

อีกอย่างคือเรื่องจุดสูงสุดของพุทธศาสนาหรือนิพพาน ที่ชาวพุทธส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่า เป็นการตายแล้วจะไม่มีการกลับมาเกิดอีก ซึ่งก็หมายถึงว่า จิตได้ดับสูญไปเลย ซึ่งถ้าเป็นจุดสูงสุดของพราหมณ์จริงๆจะเป็นการมีตัวตนอมตะที่กลับไปรวมกับอัตตาใหญ่ ไม่มีวันดับสูญ แต่ชาวพุทธส่วนใหญ่กลับเข้าใจว่าดับสูญ จึงเรียกว่าเป็นอัตตาเพียงครึ่งท่อนเท่านั้น ไม่เต็มตัวเหมือนของพราหมณ์ (แต่ชาวพุทธบางส่วนก็เข้าใจว่านิพพานเป็นบ้านเป็นเมืองที่ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุขอยู่ชั่วนิรันดร ซึ่งก็เท่ากับเชื่อว่าจิตเป็นอมตะเต็มตัวเหมือนอย่างอัตตาของพราหมณ์นั่นเอง)

ความเข้าใจว่ามีการเกิดใหม่อย่างนี้ แม้จะบอกว่าจิตไม่ไปเกิดใหม่โดยตรง แต่มันก็เหมือนกับว่ามีจิตที่เหมือนจิตเก่าเกิดขึ้นมาใหม่โดยอ้อมเพื่อมารับผลกรรมเหมือนกับความเชื่อของพราหมณ์ แม้จะมีจุดหมายปลายทางที่ต่างกับพราหมณ์ที่พราหมณ์เขาจะมีจิตเป็นอมตะ แต่ของชาวพุทธที่เข้าใจผิดจะเข้าใจว่าจิตจะดับสูญไปเลย และเมื่อมีความเชื่อว่าจิตมีการเกิดใหม่ได้ ก็จึงมีความเชื่อเรื่องว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมและการรับผลกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น เกิดขึ้นตามมาด้วยอย่างที่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดเชื่อกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเข้าใจว่ายังมีการเกิดตัวตนขึ้นมาใหม่ได้อีกเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าชาวพุทธยอมรับว่า จิตเป็นอัตตา คล้ายของพราหมณ์นั่นเอง แม้จะบอกว่าจิตเป็นอนัตตาก็ตาม

ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าชาวพุทธแม้จะพูดว่า "จิตเป็นอนัตตา" แต่กลับมีความเข้าใจว่า "จิตเป็นอัตตา" แต่ว่าเป็นอัตตาเพียงครึ่งท่อน คือถ้าเป็นอัตตาเต็มตัวอย่างของพรมหณ์ก็จะเชื่อว่า "ถ้าจิตยังมีกิเลสอยู่ จิตออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้เพื่อไปเกิดใหม่ แต่ถ้าจิตไม่มีกิเลส จิตก็จะกลับไปรวมตัวอยู่กับอัตตาใหญ่ชั่วนิรันดร หรือมีตัวตนอมตะ ไม่ดับสูญ แต่ว่าถ้าเชื่อว่าเมื่อร่างกายตายแล้ว ถ้าจิตยังมีกิเลสอยู่ จิตก็จะดับหายไป ไม่มีจิตหรือสิ่งใดออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ แต่ว่าจะมีจิตเกิดขึ้นมาใหม่ได้เหมือนจิตเก่าอีก แต่ถ้าจิตไม่มีกิเลส เมื่อตายไปจิตจะดับสูญ ซึ่งลักษณะนี้จัดว่าเป็น อัตตาครึ่งท่อน (หรือกึ่งอัตตา) ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะของอัตตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม เพราะยังมีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกายและความเชื่อเรื่องว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมและการรับผลกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น เหมือนอย่างของพราหมณ์อยู่นั่นเอง ซึ่งถ้าชาวพุทธจะมีความเข้าใจเรื่อง “จิตเป็นอนัตตา” อย่างแท้จริงแล้ว ก็จะไม่มีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และความเชื่อเรื่องเรื่องว่ามีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล รวมทั้งความเชื่อเรื่องกรรมและการรับผลกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น อย่างเช่นที่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดกำลังเชื่อกันอยู่ในปัจจุบัน

จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธทั้งหลายควรศึกษาเรื่อง อัตตา และ อนัตตา นี้ให้รู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้แยกคำสอนของพราหมณ์ออกเสียจากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพื่อที่ชาวพุทธจะไดัรับประโยชน์จากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แล้วการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็จะไม่เสียเปล่าอย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน

 เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดได้
ที่ www.whatami.net)

*********************
Free Web Hosting