การศึกษาที่ล้มเหลว

ในปัจจุบันการศึกษาของนักเรียนของเราประสบความล้มเหลวลงมาก เพราะจากความเป็นจริงพบว่า เด็กระดับประถมอ่านหนังสือไม่ออกมากขึ้น รวมทั้งระดับคะแนนเฉลี่ยในวิชาต่างๆก็ลดน้อยลง เด็กส่วนมากคิดเลขยากๆในระดับของตัวเองไม่ได้ ไม่รู้จักใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ชอบใช้กำลังในการแก้ปัญหา เด็กมีนิสัยก้าวร้าวมากขึ้น หยาบคายมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น สรุปว่าเด็กมีระดับความรู้ต่ำหรือเรียกว่าด้อยคุณภาพ ชนิดที่เมื่อจบระดับประถมหรือแม้มัธยมมาแล้วก็แทบจะไม่มีความรู้ความสามารถอะไรอย่างแท้จริงเลย มีแค่วุฒิบัตรเท่านั้นที่แสดงถึงว่าได้จบการศึกษา แต่ไม่มีความรู้อย่างเพียงพอในระดับที่จบมาอย่างแท้จริง และเมื่อจบมาแล้วก็หางานที่ดีทำไม่ได้ หรือไม่มีความรู้ที่จะมาพัฒนาหน้าที่การงานให้เจริญขึ้นมาได้ แล้วก็ส่งผลให้ประเทศชาติไม่พัฒนา หรือบางคนก็หาทำไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ จึงกลายมาเป็นคนตกงานและสร้างปัญหาให้กับสังคมขึ้นมาอีก

ปัญหาเรื่องเด็กด้อยคุณภาพนี้ เราอย่ามองว่าเป็นเพราะระบบการศึกษาไม่ดีเพียงอย่างเดียว เพราะปัญหาใดปัญหาหนึ่งนั้น เมื่อจะเกิดขึ้นมันจะต้องมีหลายๆปัจจัยมาส่งเสริมให้เกิดขึ้น เพียงปัจจัยเดียวจะทำให้เกิดปัญหาใดปัญหาหนึ่งขึ้นมาไม่ได้แน่ ซึ่งปัญหาเรื่องเด็กด้อยคุณภาพนี้ เกิดมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งจากระบบการศึกษา ทั้งจากครูอาจารย์ ทั้งจากนโยบาย ทั้งจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็ก และทั้งจากสังคมด้วย

ในเรื่องระบบการศึกษาในปัจจุบันนั้น มุ่งแต่จะสอนให้เด็กมีความรู้มากๆด้วยการท่องจำ หรือเรียนรู้จากที่อื่น เช่น จากตำรา หรือจากผู้ที่มีความรู้ หรือจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็ทำให้เด็กต้องใช้สมองในการจดจำมาก ซึ่งมันก็น่าเบื่อเพราะมันหนักสมองที่ต้องท่องจำมากๆ และทั้งยังลืมง่ายอีกด้วย ซึ่งการอ่านจากตำราหรือเรียนรู้จากผู้มีความรู้ หรือค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ตนั้น ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้แต่ก็ไม่ควรมากเกินไป หรือมุ่งเน้นในทางนี้เพียงอย่างเดียว ควรให้เด็กได้หัดใช้ความคิดของตัวเอง หรือรู้จักค้นคว้าหาความรู้จากธรรมชาติรอบๆตัวด้วยตัวเองให้มาก

ส่วนเรื่องการให้ความรู้ก็ไม่ควรให้มากเกินไป แต่ความเน้นสอนเรื่องพื้นฐานสำคัญๆของแต่ละวิชาให้แน่นหรือแข็งแกร่งก่อน ถ้าเด็กขาดพื้นฐาน ถึงศึกษามากไปก็รับไม่ได้ อย่างเช่น เด็กบางคนแม้จะอยู่ชั้นประถม ๒ หรือ ๓ ก็ยังอ่านหนังสือไม่ออก ซึ่งเด็กพวกนี้ถึงให้เรียนรู้มากไปก็รับไม่ได้ ดังนั้นจึงควรกลับมาเน้นสอนให้เด็กฝึกท่องจำพยัญชนะ สระ แต่ละตัวให้เม่นยำ และหัดผสมพยัญชนะ สระให้ได้อย่างชำนาญเสียก่อน แล้วเด็กก็จะอ่านและเขียนได้เก่ง เมื่อเด็กอ่านและเขียนได้เก่งแล้วจึงค่อยให้ความรู้มากขึ้นได้ หรือเด็กบางคนก็บวก ลบเลขไม่เป็น บางคนก็ยังคูณ หารไมได้ หรือท่องสูตรคูณไม่ได้ ก็ควรให้กลับมาฝึกบวก ลบ คูณ หาร และท่องสูตรคูณให้เก่งเสียก่อนไม่ว่าจะอยู่ชั้นใด ถ้ายังไม่เก่งในเรื่องพื้นฐานก็ไม่ควรสอนเรื่องอื่นที่สูงไปกว่านี้เพราะจะไม่ได้ผล เป็นต้น

ส่วนเรื่องของครูอาจารย์นั้น ถ้ายังเป็นแค่คนรับจ้างสอน แต่ไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ก็ย่อมที่จะไม่มีความพร้อมที่จะอบรมสั่งสอนให้เด็กมีความรู้อย่างแท้จริง ครูอาจารย์ที่แท้จริง จะต้องรักศิษย์เหมือนลูกหลานของตัวเอง คือมีความปรารถนาที่จะอบรมสั่งสอนให้เด็กมีความรู้ให้มากและให้เป็นคนดี ซึ่งเรื่องความรู้ของครูนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับจิตวิญญาณของความเป็นครู โดยครูจะต้องมีความเสียสละเป็นหัวใจสำคัญ ต้องมีความอดทน และมีความเพียรเป็นบริวาร ซึ่งการที่จะได้ครูที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ได้นั้น ก็ต้องมีการฝึกอบรมให้เกิดขึ้นจากการอบรมสั่งสอนให้ผู้ที่จะมาเป็นครูได้เรียนรู้ชีวิตอย่างถูกต้อง จนเกิดความเห็นแจ้งชีวิตเสียก่อน เมื่อเห็นแจ้งชีวิตอย่างถูกต้องแล้ว ครูก็จะเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อยลง เมื่อไม่เห็นแก่ตัวครูก็จะมีความเสียสละ อดทนและมีความเพียรตามมาได้ในภายหลัง

ส่วนเรื่องนโยบายนั้น ถ้ายังเน้นสอนเพียงแค่ให้เด็กมีความรู้ให้มากๆ โดยไม่มุ่งเน้นให้เด็กมีทักษะในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง เด็กก็จะกลายมาเป็นเครื่องจักรสำหรับให้มารับใช้ผู้อื่น และกลายมาเป็นผู้สร้างปัญหาให้กับสังคม ซึ่งนโยบายที่ดีนั้น จะต้องทำให้เด็กมีทั้งความรู้และความประพฤติที่ดี รวมทั้งรู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ซึ่งการใช้ชีวิตที่ถูกต้องนั้นก็ต้องเกิดมาจากรู้และเข้าใจชีวิตอย่างถูกต้องก่อน ซึ่งความรู้และความเข้าใจชีวิตที่ถูกต้องนั้นก็เกิดมาจากการเรียนรู้จากชีวิตจริงของตัวเองเป็นหลัก อย่างเช่น ถ้าเกเร เพื่อนก็จะรังเกียจ ถ้ารู้จักช่วยเหลือแบ่งปันเพื่อนก็จะรัก ถ้าเกียจคร้านก็จะสอบตก หรือการเรียนตกต่ำ และสุดท้ายชีวิตก็จะตกอับ แต่ถ้าขยันก็จะมีความรู้มากและได้ทำงานที่ดีๆ หรือถ้าฟุ่มเฟือยก็จะยากจน ถ้าประหยัดก็จะร่ำรวย หรือถ้าติดสิ่งเสพติด ติดการพนัน ติดเกมส์ ติดเล่น ติดเที่ยว ก็จะทำให้ชีวิตเดือดร้อน แต่ถ้าติดเรียน ติดงาน ก็จะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง หรือถ้าเอาแต่พึ่งคนอื่น ชีวิตก็จะเดือดร้อนในภายหลัง แต่ถ้ารู้จักพึ่งตัวเอง ชีวิตก็จะสุขสบายในภายหลัง หรือถ้ามองอะไรหยาบๆ ก็จะไม่พบความจริง แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะได้พบความจริง เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ควรที่จะเน้นทั้งสอนและอบรมให้มาก จนเด็กซึมทราบเพื่อที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น ส่วนเรื่องการให้ความรู้ด้านวิชาการอื่นๆนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าเด็กมีความพร้อมแล้ว

ส่วนเรื่องพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กนี้ก็สำคัญ คือพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็มักจะฝากความหวังเอาไว้กับทางโรงเรียนหรือครูอาจารย์ ว่าจะช่วยอบรมสั่งสอนให้ลูกหลานของตนให้เป็นคนดีและมีความรู้ได้ ดังนั้นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กจึงไม่ค่อยจะสนใจว่าเด็กจะเป็นอย่างไร เช่น อ่านหนังสือออกหรือยัง ทำเลขเป็นหรือยัง ได้เรียนอะไรไปบ้างแล้ว เป็นต้น ซึ่งพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กก็ควรเข้าใจว่าครูอาจารย์ก็มีเพียงไม่กี่คน ดังนั้นจึงยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูแลหรืออบรมสั่งสอนเด็กให้มีความรู้และมีความประพฤติดีได้ทุกคน ยิ่งสมัยนี้ที่มีกฎห้ามครูอาจารย์ตีเด็กถ้าเกียจคร้านหรือทำผิดหรือไม่สนใจเรียน ก็จะยิ่งทำให้เด็กไม่เกรงกลัวครูอาจารย์ เมื่อเด็กไม่เกรงกลัวครูอาจารย์ เด็กก็จะไม่เชื่อฟัง เมื่อไม่เชื่อฟังก็สอนหรืออบรมอะไรไม่ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กโง่เขลาและความประพฤติไม่ดี ซึ่งโรงเรียนนั้นก็เป็นแค่เพียงครึ่งหนึ่งของการศึกษาและอบรม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับทางบ้าน ถ้าพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กหันมาสนใจเด็กให้มาก และช่วยสอนและอบรมเพิ่มเติม ก็จะทำให้เด็กได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้น ถ้าเด็กยังอ่านหนังสือไม่ออก แล้วพ่อแม่สนใจช่วยสอนอยู่เสมอๆ เด็กก็จะอ่านหนังสือออก แต่ถ้าพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กไม่สนใจ ถ้าเด็กอ่านหนังสือไม่ออก ก็จะทำให้เด็กยังคงอ่านหนังสือไม่ออกเรื่อยไป จนแม้จบประถมศึกษาก็ยังอ่านหนังสือไม่ออกหรือไม่เก่ง ซึ่งเรื่องนี้ก็มีให้เห็นอยู่โดยทั่วไป

ส่วนเรื่องสังคมนั้นก็สำคัญ เพราะถ้าสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาให้มากกว่าเรื่องความร่ำรวย ความสนุกสนาน ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และความมีเกียรติ สังคมก็เป็นแรงกระตุ้นให้เด็กสนใจเรียนและแสวงหาความรู้ ก็จะทำให้ได้เด็กที่มีความรู้มากขึ้น แต่ถ้าสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องความร่ำรวย ความสนุกสนาน ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และความมีเกียรติมาก ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กสนใจแต่เฉพาะเรื่องเหล่านี้ เด็กจะไม่สนใจเรื่องการเรียนเท่าที่ควร ซึ่งเด็กจะมองว่า “ขอให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะในทางใด เช่น ลักขโมย จี้ปล้น คอรัปชั่น คดโกง หรือเบียดบังด้วยวิธีต่างๆ หรือใช้เส้นสายช่วยในการทำงาน เป็นต้น ก็จะเป็นสิ่งที่ถูกหรือสมควรแล้ว” ซึ่งนี่คือจุดสำคัญมากที่ทำให้เด็กของเรามีคุณภาพต่ำเพราะสังคมของเรามีคุณภาพต่ำ ส่วนสาเหตุที่ทำให้สังคมมีคุณภาพต่ำนั้นก็เกิดมาจากผู้นำสังคมและผู้คนในสังคมส่วนมากเห็นแก่ตัว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวก็เพราะขาดความรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต ซึ่งสาเหตุที่ขาดความรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตก็เพราะไม่มีการศึกษาที่ดีและถูกต้อง ส่วนสาเหตุที่ไม่มีการศึกษาทีดีและถูกต้องนั้นก็อาจะเป็นเพราะไม่มีการศึกษาที่ดีและถูกต้องในสังคม หรือมีแต่ผู้คนในสังคมไม่สนใจศึกษากันอย่างจริงจัง

สรุปได้ว่า การศึกษาที่ล้มเหลวเกิดมาจากสังคมมีคุณภาพต่ำ โดยบุคคลในสังคมที่ไม่สนใจศึกษาชีวิตให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตนั่นเองที่ทำให้เกิดสังคมที่ต่ำขึ้นมา แล้วก็ทำให้เกิดนโยบายการศึกษาของเด็กที่ผิดพลาดขึ้นมา โดยมีผลเป็นการศึกษาที่ล้มเหลวตามมา อันมีผลสุดท้ายมาเป็นเด็กที่ด้อยคุณภาพ จึงขอฝากให้ทุกคนช่วยกันคิด และช่วยกันศึกษาชีวิตให้เกิดความเห็นแจ้งในชีวิต เพื่อที่จะได้พัฒนาทั้งตนเองและสังคมให้ดีขึ้นกันต่อไป.

เตชปญฺโญ ภิกขุ ๕ มิ.ย. ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
Free Web Hosting